เมื่อจัดทำเอกสารเสร็จก็จะติดต่อให้ผู้ประกอบการ/ผู้มีอำนาจในการลงนาม มาดำเนินการลงนามในเอกสารคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 4. "โคราชการบัญชี" จะได้นำเอกสารไปขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ สรรพากรพื้นที่ที่สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ 5. เอกสารที่จะได้รับคือ สำเนา ภ. 01 จำนวน 1 ชุด สามารถใช้เป็นหลักฐานการจัดทำใบกำกับภาษีได้ตั้งแต่วันที่สรรพากรพื้นที่รับแบบคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 6. สำหรับแบบ ภ. 20 หรือใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม กิจการจะได้รับตัวจริงอีกประมาณ 1-2 เดือน โดยสรรพากรพื้นที่จะดำเนินการจัดส่งให้กับท่านทางไปรษณีย์ต่อไป 7. หน้าที่ของผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มคือ จัดทำรายงานภาษีซื้อ-ภาษีขายประจำเดือนภาษี จัดทำแบบ ภ. 30 เพื่อนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป (ถึงแม้จะไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่มนำส่งก็ตาม หากไม่ยื่นแบบตามกำหนดอาจจะต้องเสียค่าปรับยื่นแบบล่าช้าได้ และหากมีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่งจะมีเบี้ยปรับเงินเพิ่มอีกส่วนหนึ่งด้วย) ตัวอย่างใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ. 20)
1 ตามที่ขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ 2. บริษัทA ได้ชี้แจงว่า บริษัทA มีความเข้าใจในข้อกฎหมายคลาดเคลื่อนว่า การที่ผู้ประกอบการจะได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ในการส่งออกสินค้าดังกล่าวได้นั้น บริษัทA จะต้องเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายสินค้าดังกล่าวในประเทศไทยก่อน นอกจากนี้การขายผลิตภัณฑ์ยางในประเทศไทย บริษัทA ก็ไม่ได้เรียกเก็บภาษีซื้อจากผู้ซื้อและถือเป็นรายได้จากกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ. 30) และในส่วนภาษีซื้อที่เกี่ยวเนื่องจากกิจการขายยางธรรมชาติที่ได้รับยกเว้น บริษัทA ก็มิได้นำมาหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งได้ทำการเฉลี่ยภาษีซื้อตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเฉลี่ยภาษีซื้อตามมาตรา 82/6 แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 9 มีนาคม พ. ศ. 2535 ตั้งแต่ต้นตลอดมาแสดงให้เห็นว่า บริษัทA มีเจตนาที่จะกระทำให้ถูกต้องตามกฎหมายมาโดยตลอด หากแต่บริษัทA ผิดพลาดในการยื่นแบบคำขอเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะมีความประสงค์ในเรื่องของการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 สำหรับการส่งออกสินค้า 3.